2022

2022

Reforge - forge (something) again or differently.

สำหรับผมปีนี้ ผมคิดว่าใกล้เคียงกับคำว่า Reforge มากที่สุดแล้ว

เหมือนเป็นปีที่ระหว่างทางเจออะไรหลายๆ อย่างเยอะมาก เยอะจนมามองย้อนอีกที พบว่าตัวเราก่อนหน้า กับเราตอนนี้มันเหมือนคนละคนไปแล้ว

เหมือนถูก reforge หล่อหลอมเรากลายเป็นเบนซ์อีกคนไปโดยสมบูรณ์

บางอย่างยังเหมือนเดิม บางอย่างก็ได้มาใหม่ บางอย่างก็ขาดหายไป

ปีที่เราชอบเลขปีที่สุด

เลขที่ชอบของผมคือเลข 2 ครับ อาจเพราะหลักๆ คือมันเป็นเลขวันเกิด และเดือนเกิดด้วย (22 กุมภาพันธ์) ก็เลยชอบแบบง่ายดาย

และก็เคยมีคุยแลกเปลี่ยนเรื่องนั่นนี่กับพี่ขวัญ (ขอโทษนะพี่บล็อกผมเมนชั่นแบบเฟสบุ๊คไม่ได้ อิอิ) แล้วมันก็สามารถมาโยงได้อีกว่าที่ชอบเลขสอง อาจมาจากว่าชีวิตเราไม่ได้อยากได้ที่ 1 แต่เราก็อยากเป็น “The best number 2” คือเป็นที่สองที่ก็เก่งเหมือนกัน

อาจไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ในสปอตไลท์ที่คนสอดส่องแบบที่หนึ่ง แต่ก็เป็นคนที่มีมุมที่เก่งของตัวเอง

แต่นั่นแหละ มันเป็นการเชื่อมโยงแบบหาเชื่อมโยง ถ้าเอาจริงๆ ชอบเลขนี้ก็คงเพราะวันกับเดือนเกิด

Palindrome & Ambigram

แล้ววันเกิดอายุ 27 ปีนี้ วันเกิดพอเขียนต่อกันจะได้ 22022022 ซึ่งเป็นพาลินโดรมที่อ่านด้านไหนก็อ่านได้เหมือนกัน เกิดขึ้นครั้งเดียว เหตุการณ์แบบนี้เข้าใจว่าถ้าจะเกิดอีกก็อีกชาติตายไปแล้วกี่รอบก็ไม่รู้

จริงๆ รู้ว่าวันเกิดปีนี้เป็นเลขแบบนี้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว ปีนี้เลยรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เป็นพิเศษ

กล้องฟิล์ม

เป็นปีแรกที่เข้าสู่วงการกล้องฟิล์มเต็มตัว

ได้มาจากของขวัญวันเกิดปีนี้ เป็นกล้อง Simple Use Lomography แบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ใช้แล้วทิ้งหรอก มันก็ใส่ฟิล์มใหม่ได้เรื่อยๆ

พอถ่ายม้วนแรกไป ผลก็อาจเป็นเหมือนหลายๆ คน

ฟิล์มภาพแรกๆ ที่ถ่าย

มืด 555555

มืดจริงๆ จนกระทั่งก็เริ่มเรียนรู้การถ่ายมากขึ้น ก็จับหลักได้มากขึ้น

เริ่มติดใจ จนตัดสินใจไปสะพานเหล็ก ลากเพื่อน(ทัส) ไปดูกล้องฟิล์มใหม่ อัพเกรดซะหน่อย เผื่อจะได้ถ่ายได้หลายสถานการณ์มากขึ้น

แล้วก็ได้กล้องแบบ SLR มา (Ricoh XR-8)

หลังจากถ่ายกล้องฟิล์มมาแรมปี สิ่งที่ได้ค้นพบก็คือ

จริงๆ เราชอบถ่ายรูปมากกว่าที่คิด

การถ่ายกล้องฟิล์มก็ทำให้เราหลีกหนีความรวดเร็วในชีวิต มาช้าลงเพื่อหาจังหวะถ่ายภาพสวยๆ ได้

และกล้องฟิล์มทำให้เราเข้าใจมากขึ้นจริงๆ ว่า ช่วงเวลาที่มันผ่านไปแล้วมันก็ผ่านไปเลย ถ้าเราพลาด ก็คือพลาดเลย ย้อนไปอีกไม่ได้แล้ว

เพราะโอกาสที่จะได้ภาพดีๆ มันก็มีแค่ช็อตเดียวจริงๆ

ภาพท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆฝนกลางทะเลแบบฟิล์ม

ยิ่งการถ่ายกล้องฟิล์มที่มีข้อจำกัดเรื่อง 36 ม้วน และต้องไปรอผลที่ตอนล้างรูป

เรายิ่งต้องคิดว่าในความจำกัดนี้ เราต้องทำให้ดีที่สุด ไม่มีคำว่าถ่ายเผื่อแบบดิจิตอล

ภาพที่ออกมา ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่เอาจริงหลายรูปที่เห็นก็ชวนยิ้ม หรือชวนนึกถึงโมเม้น​ ณ ขนาดนั้นได้ดีกว่าถ่ายดิจิตอลซะอีก

อ่อ แล้วก็

ถ้ากูลงทุนในฟิล์ม กูรวยกว่าเล่นคริปโตละเอาจริง แม่งแพงชิบหาย

น้องนำโชค

หัดขับรถ

ปีนี้ตัดสินใจไปเรียนขับรถช่วงต้นปี พอเรียนจนจบ ขับรถเป็นก็คันไม้คันมืออยากขับ ใครมีอยากให้ขับให้ ก็ไปขอขับอยู่ทู้กที

ไปๆ มาๆ อีกทีคุยๆ กันกับป๊าม๊า ซึ่งจริงๆ ป๊าน่าจะรีเสิชเรื่องรถมานาน ด้วยความแกก็ชอบรถอะน่ะ แล้วเคยบ่นๆ ตอนที่บีทีเอสขึ้นราคา ว่าถ้าแม่งจะขึ้นขนาดนี้กุซื้อรถไหม

ป๊าถูกชะตา Honda City 1.0 Turbo จากการรีเสิช ในขณะที่ตอนแรกนี่ที่ตอนเรียนก็หัดขับ Yaris ATIV (เจนเก่านะ) ก็รู้สึกว่ามันก็ดีนะ รถตลาดอีก

แต่ป๊าก็ป้ายยา (ด้วยความเคยขับรถมาก่อนด้วยแหละ) แกก็บอกฮอนด้าดีนู้นดีนี้

เลย อ่ะไปดูที่ศูนย์แถวบ้าน ไปลองๆ นั่งๆ อะถูกใจจ๊ะ ถามเรื่องคิวส่ง นาน เลยขอเอากลับไปคิด

วันต่อมา ไปศูนย์ศรีอยุธยา ตรงข้ามออฟฟิศ

ไปๆ มาๆ กลับบ้านพร้อมใบจองเฉ้ย 55555

ผ่านไปไม่ถึงเดือนดี ได้รถแล้ว ออกรถ 29 เมษา (อันนี้ดูฤกษ์วันออกรถมา)

น้องนำโชควันแรก

แม่ก็ตั้งชื่อรถให้ว่าน้องนำโชค (Trivia: แม่คิดชื่อไปไกลให้ถึงคันที่สองละ สภาพพพพพพ)

ชีวิตเป็นหนี้รถยาวๆ ไปสี่ปี

ตั้งแต่ตอนนั้นมา ปีนี้ก็ไปไหนมาไหนอะไรกับน้องมาเยอะมากเหมือนกัน

เริ่มจากออกรถได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง เอาไปจูบกำแพงลิฟท์รถที่สะพานเหล็ก ไอ้วันที่จะไปดูกล้องฟิล์มนั่นแหละ 5555555

ยังไม่พ้นวันเลย เกม 5555

เลยมีมุกขำๆ ว่าค่าเสียหายก็คือกันชนหน้ารถ กับเงินอีกประมาณ 2 พันค่ากล้อง สภาพ

กลับบ้านมา โดนสวดยับ หลังจากนั้นมาก็ขับแบบระวังขึ้นเยอะ ก็คงจริงที่เขาบอกกันว่า ชีวิตขับรถแม่งต้องชนสักครั้ง ก็คงจริง

ถ้าให้ดี ก็ไม่ควรชนเลยแหละ แต่ถ้าชน ก็ไปชนกับอิฐ ปูน ประตูบ้าน เสา อะไรนี้เอาดีกว่านะ อย่าไปหาชนกับรถคันอื่น หรือชนคน หรือเกิดอุบัติเหตุจนเราเจ็บตัว

แล้วพอมีรถแล้ว พอมีเหตุที่อยากไปตจว. มีทริปกับออฟฟิศบ้าง ไปงานแต่งเพื่อน หรือไปวันเดย์ทริปใกล้ๆ ก็เลือกที่จะขับรถไปเองแทน 5555 เป็นปีที่ก็ขับทางไกลไปหลายจังหวัดอยู่

ชลบุรี บางแสน จันทบุรี เขาใหญ่ ลำปาง เชียงใหม่

ขึ้นเขาลงห้วย พามาหมด

น้องนำโชค ณ เทพเสด็จ

เรียกว่าใช้ Eco Car ซะคุ้มเลยครับพี่น้องครับ

งาน

ปีนี้หนักหนาสาหัสเอาการ

ข้อสรุปเรื่องงานของปีนี้ขอยกมาจากชื่อหนังสือของคุณธนา เธียรอัจฉริยะ

นั่นคือ

ล้ม ลุก เรียนรู้

เป็นปีที่แม่งโคตรจะล้มลุกเรียนรู้ใหม่ หลายรอบ หลายเรื่อง แถมยังล้มบ่อย และยังต้องลุกเร็วอีกด้วยนะ

พาลเอาหมดแลง และน่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่กล้าพูดว่าเจอเหตุการณ์ “เบินเอ้า” ได้เต็มปากในช่วงตุลาคม

และเหตุการณ์นี้ก็เป็นส่วนนึงที่ Reforge ตัวเองมาใหม่ในปีนี้เหมือนกัน

เป็นปีที่งานเริ่มมีสเกลและจำนวนมากขึ้น ทีมก็ใหญ่ขึ้น ความรู้ แนวคิด และสิ่งที่เคยพาเรามาถึงจุดนี้ได้ หลายเรื่องอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป

เข้าใจคำกล่าว่า What’s got you here won’t get you there ได้อย่างเข้าใจมากๆ

ในเรื่องการบริหารทีม จัดการคน ก่อนหน้าก็เป็นงานที่พยายามหา balance ตลอดอยู่แล้ว

แต่มาตอนนี้ด้วยจำนวนคน การหา balance นั้นก็เริ่มยาก แถมปัจจัยที่ต้องเอามา balance ก็เยอะขึ้นไปอีก

ถามว่าทุกวันนี้ยัง strugle ไหม ก็กล้าตอบว่าประมาณนึงนะ แม้จะดีขึ้นเยอะแล้ว

แต่ตอนนี้เริ่มเห็นภาพอนาคต เริ่มเห็นปัญหาที่ชัดเจน เริ่มมีแนวทางของตัวเองบ้างแล้ว

เหลือแค่ว่ามาลองดูสิว่าจะเป็นยังไง

แต่ถึงแม้ว่าปีนี้งานจะหนักหนา และตัวผมเองก็เจอปัญหารายล้อม ระดับที่ว่าบางทีเจอปัญหากันทุกวันเลย

OCI Team!

แต่รู้สึกยังโชคดีมากที่ยังมีทีมที่ดียังอยู่รอบๆ ตัวเรา

ขอบคุณทุกคนมากๆ ครับ :)

วิ่งและสุขภาพ

งานฮาฟที่ภูเก็ต

ปีนี้การวิ่งถือว่าย่ำแย่ เพราะการเจ็บ ITB ครั้งเดียว ทำเอาหวาดเสียวและกลัวจนถึงตอนนี้เลย

ช่วงกลางๆ ปีมีงานวิ่งฮาฟที่ภูเก็ตที่ลงไว้นานแล้ว แล้วมันเหลือเวลาสองสามเดือนในการซ้อม บวกกับว่าอู้การซ้อมวิ่งมานาน (ผมเรียกอาการนี้ว่า “ไหล”) เลยต้องงัดตัวเองมาซ้อมหน่อย

มีวันนึง อากาศเย็นเฉยเลยในกรุงเทพ วิ่งสวนลุมไปสามรอบ 7.5 โลโดยไม่รู้สึกว่าเหนื่อยหรือมีอาการล้าใดๆ

ความห้าวเลยมาเลย กดโลที่ 10 ไปก็ยังไม่เหนื่อย เอาต่อหน่อยๆ ไปจบที่โลที่ 15 เพราะฝนตกหนักมาก เลยต้องหยุดวิ่ง

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของอาการเจ็บ ITB

ครั้งต่อมา ซ้อมวิ่ง วิ่งได้ 5 โล อากาศเจ็บหวิวแบบหวิวเกิดตรงข้างๆ เข่า รู้เลยว่าเป็นอาการเจ็บที่ ITB ล้านเปอร์เซนต์ หยุดวิ่งทันที

สาเหตุคิดว่าเป็นเพราะวันที่วิ่ง 15 โลนี่แหละ ก่อนหน้านี้เราวิ่งไกลสุดแค่ 7 โลได้ การไป 15 โลมันคือ double มันเพิ่มเยอะไปในเวลาสั้นๆ

และอาการเจ็บ ITB นี่เป็นหนึ่งในเรื่องชิบหายระดับจักรวาลในการวิ่ง เพราะอาการนี้ไม่ใช่เรื่องตลกเลย ถ้ารู้ว่าเป็น ต้องพักและไปทำกายภาพอย่างเดียว

ตัดสินใจติดต่อเพื่อนที่เป็นนักกายภาพไป โดนเครื่อง Shockwave ตุ้งๆ ไปหนึ่งกรุบ แล้วลองกลับไปวิ่ง สังเกตอาการตัวเอง เจอแล้วหยุดทันที

ตอนแรกเจอที่โลที่ 3 หยุด

ต่อมาเจอที่โลที่ 5 หยุด

ค่อยๆ ประคองอาการไป

ความเซ็งคือด้วยเหตุนี้ทำให้เราเกิดอาการหลอนไม่กล้าวิ่งอยู่ประมาณนึง กลัวเจ็บปรี๊ดขึ้นมา แต่งานวิ่งฮาฟมันก็ใกล้มาแล้ว ถ้าอาการไม่ดีขึ้น แย่ลงมากๆ ก็อาจต้องบายไม่ไปงานวิ่งเลย

แต่พอเห็นว่าเป็นภูเก็ต สมัครได้ทั้งที่ ไม่ไปก็แย่ละ อย่างแย่ก็ไปกิน ไม่ไปวิ่ง 555555555

วันซ้อมใหญ่ ซ้อมระยะแค่ 10 กิโล เพื่อหาจุดว่า เราสามารถวิ่งได้ไกลสุด โดยอาการ ITB ไม่ออกน่าจะประมาณโลที่เท่าไหร่ เพื่อจะได้วางแผนวิ่งถูก ถ้าจะวิ่งนะ

ปรากฎว่า ตามคาด โลที่ 10 มาพอดี

สรุปว่ารอบนี้ ซ้อมไกลสุดแค่ 15 โล ถ้าเอาด้วยคอนดิชั่นบาดเจ็บก็ 10 โล

ด้วย mindset ที่เคยซ้อมวิ่งฮาฟแรก การซ้อมได้ระยะแค่นี้ มีความกังวลใจแน่ๆ

แต่ด้วยความบ้าอะไรไม่รู้แหละ คิดแผนในหัวแบบเร็วๆ ว่า ถ้าเราวิ่งถึงโลที่ 10 แล้วอาการเจ็บมันมาถามหาจริงๆ หลังจากนั้นเราก็เดินๆ จ๊อกๆ ก็น่าจะจบนะ

และนั่นคือแผนของผม

สุดท้ายแผนของผมก็ทำได้จริง

แต่ถ้าถามว่าอาการเจ็บมันรบกวนไหม มันรบกวนจริง คือมันหงุดหงิดใจมาก แต่ก็ต้องรักษาร่างกายไว้

หลังจากจบงานฮาฟภูเก็ต เลยบอกกับตัวเองเลยว่าพักยาวๆ ถ้าลงงานวิ่ง ลงสิบโลพอ (นี่เป็นสาเหตุที่ปีนี้ลงสิบโลเยอะหน่อย หาเรื่องเที่ยวด้วย หาเรื่องวิ่งด้วย)

เลยเป็นเหตุนึงว่าปีนี้ค่อนข้างเหลวกับการวิ่ง การกินก็เยอะขึ้นสวนทาง น้ำหนักก็เลยขึ้น

และปีหน้าต้องเข็นตัวเองกลับมาละ

อื่นๆ แบบไม่มีหมวด และเขียนตามนึกออก

  • หนังที่ประทับใจปีนี้: Top Gun Maverick (ดู IMAX ไป 5 รอบ โคตรชอบ) / Avatar 2 (ชอบงานภาพมากนะ แต่เนื้อเรื่องยังเฉยๆ) / Glass Onion (ปั่นจัด) / The Batman (โคตรเดือด) (และอาจมีอีก แต่นึกไม่ออก)
  • Series ประทับใจปีนี้: Stranger Things (เพิ่งได้ดูแบบตาแตกทุกซีซั่น โคตรชอบ) / Moon Knight (ชอบกว่าหนังมาร์เวลปีนี้อีก บ่องตง) / Andor (ยังดูไม่จบ แต่ทับใจนะ) /
  • เกมแห่งปี: God of War Ragnarok เพราะยังไม่ได้เล่น Elden Ring และเป็นเกมที่ประทับใจโคตรๆ ในปีนี้ ดีแบบน้ำตาไหล
  • เป็นปีที่รู้สึกว่า “นิ่งขึ้น” / “เข้าใจโลกมากขึ้น” รวมถึง “มีความกล้าในตัวเองมากขึ้น” กล้าทั้งลองทำนั่นนี่ที่หลุดจากความเดิมๆ รวมถึงกล้าเสนอความเห็นมากขึ้น กล้าพูดเรื่องยากๆ มากขึ้น กล้าตัดสินใจขึ้น เด็ดขาดขึ้น (ถึงจะยังไม่เด็ดขาดมากขนาดนั้น แต่ก็มากขึ้นนะ)
  • มีคนเคยกล่าวกับผมไว้ว่า “บางทีเรามีความเก่งและรู้เรื่องในเรื่องนั้นๆ มาก ทำให้เราก็อาจหลงลืมที่จะมองภาพกว้าง บางทีเราอาจต้องแค่หยุดแล้วถอยมาเห็นภาพกว้าง แล้วเราจะเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิม”

ส่งท้าย

เอาจริงนับปีผ่านไป ความยาวของ Year in Review จะเริ่มสั้น จนปีหน้าอาจเหลือเป็น bullet แทน 5555555

เอาเป็นว่า ปีหน้า 2023 ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน ขอให้เป็นปีที่โลกอ่อนโยนต่อตัวเรามากขึ้น แม้มันอาจจะยากแหละ แต่เราก็อยากให้โลกอ่อนโยนต่อทุกคนขึ้นอีกนิดจริงๆ นะ

แต่ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าโลกจะเป็นยังไง สิ่งนึงที่ปีนี้น่าจะสอนผมมาอีกอย่าง และจริงๆ ก็เป็นอะไรที่ผมพร่ำบอกกับคนใกล้ตัวหลายๆ คนว่า

เราอ่อนแอได้ และมันไม่เป็นอะไรเลยที่จะอ่อนแอ และไม่ต้องรีบร้อนที่จะต้องกลับมาเข้มแข็งนะ เวลาจะเป็นคนบอกมันเอง

สวัสดีปีใหม่ 2023 ทุกคนนะครับ :)

Ps. ใครสังเกตดีๆ ผมมี CI ใหม่ โลโก้ใหม่แล้ววววว

โลโก้ใหม่

Made with ❤️ since 2016