“4 ปีมันผ่านไปไวนะ”…บันทึก ณ วันที่เรียนจบ
เพิ่งผ่านงานรับปริญญามาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวาน(ซืน)นี้ครับ
ในใจนึงก็รู้สึกตื้นตันและดีใจมากๆ มันเป็นวันที่ดีมากๆ ได้เจอเพื่อนๆ เจอพี่ๆ เจอน้องๆ ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราในวันเดียว นอกจากนั้นมันเป็นวันที่ชี้ชัดว่าชีวิตเรากำลังเดินก้าวไปอีกขั้นอย่างแท้จริง ก้าวออกจากชีวิตการเรียน การศึกษาที่กินเวลามาอย่างยาวนาน ไปสู่ชีวิตการทำงานที่แท้จริง ก้าวออกไปสู่โลกกว้างภายนอกที่มีอะไรต่อมิอะไรให้ค้นหามากมาย
แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกใจหายเบาๆ เหมือนกัน
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดหรอกว่าวันที่เรียนจบแล้วมันจะมีฟีลลิ่งที่เหมือนมี flashback ภาพชีวิตย้อนมาให้เห็นสั้นๆ
และพาลให้คิดว่า เอ้อ ที่พี่ๆ เขาพูดกันมานักต่อนักมันก็จริงแฮะ
4 ปีมันผ่านไปไวนะ
ก็เลยมาเขียนบล็อก เอา flashback ที่ย้อนกลับมาให้อ่านกัน
จะบอกว่าเป็นบันทึกหลังเรียนจบ ก็คงใช่แหละ…ก็เก็บมันไว้ให้เป็นความทรงจำ และเครื่องเตือนใจว่าครั้งนึงเราก็เคยได้อะไรเยอะแยะมากมายจากที่แห่งนี้
กิจกรรมสอนให้คนทำงานเป็น
เรามาเรียนในมหาวิทยาลัยก็ต้องหาความรู้แน่นอน เพราะเราก็ต้องเอาความรู้ที่ได้เนี่ยไปใช้ทำมาหากินในอนาคต
แต่สิ่งที่ผมว่ามัน fullfill ให้ชีวิตมีประสบการณ์และมีรสชาติไปอีกขั้นตลอดเวลาในรั้วมหาลัยก็คือการทำกิจกรรมนี่แหละ
เหมือนที่เขาบอกว่า การเรียนทำให้คนมีงานทำ แต่กิจกรรมสอนให้คนทำงานเป็น ซึ่งผมก็กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเช่นกันว่ามันเป็นเรื่องจริง
ผมเป็นหนึ่งคนที่ทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะพอสมควรครับ มีทั้งกิจกรรมที่วิชาการจ๋าๆ (สอนฟิสิกส์ในค่าย FE Camp, สอนคอมพิวเตอร์ในค่าย BitByte) ไปจนถึงกิจกรรมเพียวสันทนาการที่แท้ทรู (รับน้องบ้านโจ๋) แต่ก็ทำกิจกรรมในขอบเขตที่พอดีกับตัวเอง
ค่าย FE Camp ได้เปิดโอกาสได้เราได้แบ่งปันความรู้ที่เรามีแก่น้องๆ รวมถึงสร้าง inspiration ให้น้องๆ ที่อยากเข้าวิศวฯ ด้วย
เราอาจจะเคยเห็น case study มาเยอะแล้วที่การทำกิจกรรมทำให้เสียการเรียน จนทำให้หลายๆ คนก็มาพร่ำบอกว่าให้ไปตั้งใจเรียนสิ เรามาเรียนนะไม่ใช่มาเล่น มาทำกิจกรรมอะไร
แต่ผมจะบอกว่า คนประเภทนั้นคือคนที่เขาจัดสรรเวลาไม่เป็นครับ
ผมพร่ำบอกกับน้องๆ กับทุกคนที่รู้จักเสมอว่า เออกิจกรรมมันดีนะ แต่ต้องทำให้พอดี อย่ามากเกินไป
อันไหนที่ทำแล้วไม่สบายใจ ก็ไม่ต้องทำ อันไหนที่ทำแล้วทำให้เรารู้ตัวว่า มันไม่ใช่เวลาที่น่าจะต้องทำ ก็ไม่ต้องทำ
ถ้าถึงช่วงต้องสอบ ต้องอ่านหนังสือ ก็บอกเขาไปเลย เออพี่ผมอ่านหนังสือนะ
ไม่มีใครบังคับให้เราทำกิจกรรมหรอกครับ เราเป็นคนเลือกทำครับ
ซึ่งกิจกรรมมันไม่ได้ให้เราได้แค่มิตรภาพที่เกิดจากระหว่างการทำงาน แต่มันยังให้ประสบการณ์เราแบบอ้อมๆ อีกด้วย
บางกิจกรรมที่คนนอกก็มองดูไร้สาระ และไม่ได้อะไรเลยนอกจากความสนุก อย่างเช่น การเต้นสันทนาการ หรือการตีกลอง จริงๆ แล้วมันมีอะไรที่ได้มากกว่านั้นเยอะครับ
หรืออย่างการทำค่ายเอง ก็ได้อะไรเยอะครับ ได้ตั้งแต่เป็นมดงานช่วยจัดค่าย ยันไปช่วย organize, manage งานค่ายให้ดำเนินไปได้ด้วยดี
สิ่งเหล่านี้เนื้อหาในห้องเรียนไม่มีสอนจริงๆ ครับ
และถ้าอยากได้ต้องไปไขว่คว้าหาเอาเองจริงๆ
ผมเองก็ไม่กล้าพูดว่าเป็นเด็กกิจกรรม แต่ก็บอกได้เต็มปากว่าเป็นคนที่ทำกิจกรรมครับ
บางที การที่เราได้ C หรือ D มาบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
หลายคนคาดฝันว่าอยากจะได้เกียรตินิยมกันตอนเข้ามาแรกๆ ซึ่งก็แหงละ มันก็เป็นความเท่ห์ที่มีให้เห็นอยู่บนใบปริญญาบัตร ว่าได้เกียรตินิยม และเป็นสิ่งที่แสดงว่าเรามีความเทพอยู่ในตัวเรา ตอนที่ไปสมัครงาน (หรือจะเอาไปโม้ให้ญาติๆ ฟังก็ยังได้)
แต่เชื่อไหมว่า บางทีชีวิตเราก็ไม่ต้อง perfect หรือจบด้วยเกรดที่มีแต่ A กับ B ใน transcript ก็ได้
เกรดเทอมแรกในชีวิตมหาลัยผมไม่มี A สักตัวครับ
แม้กระทั่ง Calculus ที่เขาว่าได้ A ง่ายที่สุดและก็ยัง B+ แถมหนำซ้ำเป็นวิชาที่ได้คะแนนมิดเทอมเยอะมาก (89/100 อารมณ์แบบ easy A เลยแหละ ไม่น่าพลาดอะไร)
และเทอมนั้นยังมี D ด้วยครับ
ตอนนั้นชีวิตก็รู้สึกเฟลหน่อยๆ ครับ แต่พอมาวันนี้ เรารู้สึกว่าการได้ D ในวันนั้นทำให้ผมได้มุมมองชีวิตเพิ่มมาอีกมุมมองนึงครับ
มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงความผิดพลาดของตัวเองได้
เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราสำรวจตัวเองว่า เออทำไมมันถึงได้ D มาวะ
จนผมค้นพบว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครหน้าไหนที่ทำให้เราได้ D นอกเหนือจากเราทำตัวเราเองล้วนๆ ครับ
ผมเจอว่าผมอ่านหนังสือช่วงนั้นพลาดไปมาก ไปทุ่มเทกับวิชานึงมากเกินไป จนลืมว่าตัวอื่นยังมี แถมหน่วยกิตก็เท่ากันด้วย
มันเลยเป็นบทเรียนจนถึงทุกวันนี้ว่า เราอย่าทุ่มเทให้กับอะไรมากเกินไป ถ้าความสำคัญมันเท่าๆ กัน
จนถึงวันนี้ผมไม่รู้สึกเสียดายกับเกรดเทอมแรกที่ได้เฉลี่ยที่ 2.52 ครับ
หนำซ้ำรู้สึกดีด้วย เพราะน้องๆ ที่ผ่านมาเห็นก็จะได้พบว่า
เกรดเทอมแรก 2.5 ก็เรียนจบที่เกรดเฉลี่ย 3.5 และได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ได้ ถ้าเราไม่ขาดซึ่งความพยายาม
(แต่นั่นก็ต้องมาด้วย mindset ที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดด้วยนะครับ :D)
เพื่อนดี ชีวิตก็ดี
มีคำไซโคจำนวนหนึ่งบอกว่า เพื่อนในมหาลัยหน่ะมันไม่ได้เหนียวแน่นไปกว่าเพื่อนสมัยมัธยมหรอก
ซึ่งมันก็คล้ายๆ คำลวงที่ว่า เดี๋ยวเข้ามหาลัยได้แล้วก็สบายแหละ หรือคำลวงอีกเป็นล้านอย่างที่เรามักเคยได้ยินมา
เพื่อนๆ ในมหาลัยก็ดีไม่ได้แพ้เพื่อนมัธยมหรอก
หนำซ้ำพอมาตอนนี้รู้สึกด้วยซ้ำว่า เราผ่านอะไรกันมาเยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเป็นช่วงการอ่านหนังสือสอบ ผมก็เป็นหัวโจกทุกครั้งในการชวนเพื่อนมาอ่านหนังสือ และผมก็เป็นหัวโจกในการติวเพื่อนๆ เช่นกัน
ตอนปี 1 จะติดนิสัยการเขียนสรุปเนื้อหา เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ชอบการสรุปเนื้อหา มันเหมือนกับการทบทวนความรู้ตัวเอง แถมยัง share กับเพื่อนๆ ได้อีก
และบวกกับชอบสอนมาจากตอนสอนค่าย FE Camp ก็มีโอกาสสอนเพื่อน ติวเพื่อน ช่วยเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง
หรือแม้กระทั่งทำงานกลุ่ม ผมก็เป็นหัวโจกของกลุ่มหลายๆ งาน (อาจเพราะมี technical skill สูงด้วยแหละมั้ง 55)
ซึ่งจะบอกว่า หลายๆ ครั้งถ้าไม่ได้เพื่อนที่ดีเนี่ย ชีวิตนรกเลยนะครับ การทำงานกลุ่มเนี่ย
ทำงานกลุ่ม 6 คน ถ้าสั่งงานไปแล้วเพื่อนมันไม่ทำ ก็ชิบหายเลยครับ เหนื่อยหนักกว่าเดิมอีก (เพราะมันก็ต้องเป็นเราเอง ที่ทำงานส่วนที่เพื่อนมันเทไง)
หรือไม่ต้องเป็นโปรเจคในวิชาเรียนก็ได้ การทำกิจกรรมก็เหมือนกัน เราก็จะเจอจังหวะเครียดๆ เยอะมาก เครียดกลัวงานออกมาไม่ดี เครียดกลัวงานล่ม เหนื่อยเอามากๆ
บ้านโจ๋ บ้านรับน้องที่เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เรียกได้ว่าให้อะไรกับเราได้ครบเครื่องมากๆ พาชีวิตเราไปสู่หลายๆ จุดที่ไม่เคยคิดเคยฝันว่าก่อนว่าจะได้เจอ
แต่เหมือนที่จั่วหัวไว้ครับว่า “เพื่อนดี ชีวิตก็ดี”
การมีเพื่อนดีๆ อยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือกันในเวลาที่ยากลำบาก ในเวลาที่เครียดๆ มันดีกว่าที่เราผจญฝ่าฟันเรื่องนั้นไปคนเดียวจริงๆ และตอนจบของเรื่องนั้นก็จะได้เพื่อนเพิ่มมาอีกคนนึง
ซึ่งคำนี้พูดได้กับทุกเรื่องจริงๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งการไปจีบสาวก็ตามทีเหอะ 5555
และจริงๆ ผมเองก็โชคดีมากๆ ที่ตลอด 4 ปีเจอแต่เพื่อนดีๆ จริงๆ :D
มีงาน มีกิจกรรม มีเรียน ก็มี…ความรักบ้างก็ได้
ในที่สุดก็เรียนจบพร้อมกับคำว่า “4 ปีไม่มีแฟน” จริงๆ 55555555555555555555
แต่การไม่มีแฟนเลย ก็ใช่ว่าจะไม่มีโมเม้นเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ
จริงๆ พอมองในช่วงเวลานี้ บางทีการมีแฟนในช่วงมหาลัยมันก็ดีไปอย่างนะ คือรู้สึกว่ามันก็เหมือนเป็นช่วงดูใจกันอะ และชีวิตมหาลัยมันก็พอมีเวลาที่จะได้เจอกันเยอะด้วย ได้ไปอ่านหนังสือด้วยกัน ได้ไปเที่ยว ไปเล่น ทำกิจกรรมด้วยกัน (เทียบกับมาทำงานแล้วเนี่ย มีแต่งานๆๆๆๆ จริงๆ จะเอาเวลาที่ไหนไปหา)
และก็พาลอิจฉาหลายๆ คู่ที่ก็แห่ไปถ่ายรูปชุดครุยกัน ยังกะถ่ายพรีเวดดิ่ง 555555
หรือหลายๆ คู่ที่ต่างคนต่างมาช่วยถือของ มาช่วยดูแลกันในงานรับปริญญา
ส่วนผมเองเรื่องความรักในรั้วมหาลัย 4 ปีก็ดูจะมีสีสันสุดก็ตอนปี 1 นี่แหละ
เป็นโมเม้นที่ดีเอามากๆ และก็ขำตัวเองเหมือนกัน 555 ขำในความกล้าขั้นสุดของตัวเอง กล้าทำอะไรที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าได้ทำอะ
พอผ่านปี 1 ไปก็ไม่ได้คุยกับใครอีกเลย 5555555 จริงๆ ก็น่าจะนับได้อีกคนนึงตอนปี 2 แต่มันขมขื่นหน่อยๆ และแย่เอามากๆ จนหลังจากนั้นชีวิตไปทุ่มอยู่กับเรื่องอื่นแทน
จนมาช่วงเร็วๆ นี้ที่ผ่านมานี่แหละ ที่กลับไปมีโมเม้นอะไรแบบนี้อีกครั้ง
แต่ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ คือ
“บางทีความนก อาจให้อะไรกับเรามากกว่าที่เราคิดไว้ก็ได้”
(ก็ยังโสดต่อไปนะ 55 แต่ก็ขอบคุณที่มาสร้างชีวิตเราให้มีสีสันมากขึ้นนะ :D)
อาจารย์ในมหาลัยก็ดีนะ
อีกคำไซโคนึงที่เคยได้ยินก็คือ อาจารย์ในมหาลัยน่ะ เขาก็ไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เราแบบสมัยม.ปลายนะ
จริงๆ จะบอกว่าไม่ดูแลเอาใจใส่นี่มันก็ผิดเต็มๆ ประตูเลยนะ จริงๆ อาจารย์หลายๆ ท่านก็ดูแลเอาใจใส่นิสิตเราๆ ดีมากๆ เลยนะ
แต่สิ่งนึงที่ผมค้นพบว่าเหตุใดที่มีคนพูดคำนั้นมาให้ได้ยิน นั่นก็เพราะว่า อาจารย์ก็ดูแลเอาใจใส่เรานะ แต่ถ้านิสิตไม่สนใจ ก็ไม่มีประโยชน์
นั่นก็คงเพราะว่าเราต้องโตขึ้นครับ จะให้อาจารย์มาตามทวงตามจิกแบบตอนเรียนม.ปลายก็คงไม่ใช่แล้ว เพราะเราโตขึ้น เราก็ต้องมีความรับผิดชอบครับ ถ้าคิดว่าจะมีปัญหาอะไร ก็ต้องติดต่ออาจารย์เองเลย
อาจารย์หลายท่านเห็นตอนสอนก็เข้มๆ ดุๆ โหดๆ เนี่ย แต่ตอนไม่ได้สอนนี่คนละเรื่องเลยก็มีนะครับ
โดยเฉพาะตอนทำซีเนียร์โปรเจค หรือตอนทำโปรเจคหลายๆ อย่าง กล้าบอกได้เลยว่าอาจารย์ในมหาลัยก็ดูแล และให้คำปรึกษาที่ดีดีไม่แพ้อาจารย์ตอนม.ปลายจริงๆ ครับ
หนำซ้ำอาจารย์ในภาคหลายๆ ท่านก็ให้โอกาสได้จับโปรเจคที่นำไปใช้งานจริงหลายๆ ตัวด้วยครับ ทั้งๆ ที่โปรเจคหลายตัวอาจต้องใช้ศักยภาพที่เกินตัวเราด้วยซ้ำ
แต่อาจารย์ก็เห็นว่า นิสิตอย่างเราๆ ก็สามารถดันศักยภาพได้เกินกว่าที่ตัวเองคิดว่าจะทำได้จริงๆ และไว้ใจว่าเราทำได้
ซึ่งก็ต้องขอบคุณอาจารย์ทุกท่านมากครับ ที่ทำให้ผมมาจนถึงจุดนี้ได้ในทุกวันนี้
PUSH YOUR’S LIMIT!!!
เขียน React เป็น หรือทำอะไรต่ออะไรเป็น ก็จาก Senior Project นี่แหละ
ผมค้นพบว่า 4 ปีในมหาลัย นอกจากได้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น สกิลนึงที่ปลดล็อคมาได้แบบงงๆ คือ การผลักดันตัวเองขึ้นไปอีกขั้นครับ
จนผมเรียนจบ ผมเองก็บอกได้เลยว่า การเรียนในห้องเรียนเนื้อหาก็ไม่พอออกไปทำมาหากินครับ
ยิ่งสายงานคอมพิวเตอร์ บอกเลยโลกโตไปไวมากๆ ครับ ถ้าบอกกันตรงๆ คือเนื้อหาในห้องเรียนบางวิชานี่โคตรโบราณเอาพอสมควรเลย
ดังนั้นสกิลนึงที่ได้มาเต็มๆ คือ Self-Learning ครับ
ผมก็พร่ำบอกน้องๆ เสมอว่า “กรุงโรมไม่ได้เสร็จวันเดียว แต่ถ้าอาจารย์อยากได้กรุงโรมพรุ่งนี้ ก็ต้องเสร็จ”
เป็นคำที่สะท้อนหลายอย่างมากๆ เช่น 1.งานใหญ่แค่ไหน วันส่งก็คือวันส่ง 2.ทำไม่เป็น แต่ก็ต้องทำให้เป็น จนมีงานส่งได้
อันแรกจริงๆ ไม่ค่อยเจอมากหรอกครับ ส่วนมากก็เผาออกมากันจนเสร็จ แต่อันสองนี่เจอบ่อยมาก
ในหลักสูตร ก็ไม่ได้บังคับเขียนเว็บนะ แต่โปรดักส์สุดท้ายของวิชา SE ก็คือต้องมีเว็บที่ใช้งานได้
หรืออย่างผมเอง ตอนปี 3 มีทำโปรเจคกับโรงพยาบาลจุฬาฯ ต้องเขียนแอพ อืม ก็ไม่เคยเขียนเลยครับ แต่สุดท้ายก็เข็นมันออกมาจนได้
ทุกอย่างที่ฟังดูโหดร้ายมากๆ แต่จริงๆ มันทำให้เราโตขึ้นได้ก้าวกระโดดมากจริงๆ
และผมว่ามันเป็นสกิลที่ดีมากๆ เลยนะ เพราะจริงๆ การเรียนรู้ไม่ได้จบแค่ในห้องเรียนหรอก หากแต่ทั้งชีวิตเราเนี่ยแหละ มันคือการเรียนรู้ครับ
อยู่ดงคนเก่งๆ จะเก่งตามได้แน่ๆ
ผมจบจากโรงเรียนวัดราชบพิธ ที่ใครหลายคนได้ยินชื่อก็อาจจะไม่ค่อยรู้จัก เพราะโรงเรียนก็ไม่ได้มีชื่อเสียงดังเท่าอย่างสวนกุหลาบที่ก็อยู่ละแวกแถวโรงเรียนผมนี่แหละ 555 เพื่อนหลายคนก็ยกยอให้ผมเป็นตัวท็อปของโรงเรียน (ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังถ่อมตัวอยู่นะ กูไม่ได้เก่งขนาดนั้น เพราะมันมีคนที่เก่งกว่าจริงๆ 555)
ดังนั้นให้นึกภาพว่า ชีวิตวัยเรียนผมก็คงเหมือนเด็กมัธยมจำนวนส่วนมาก ก็มีชีวิตสนุกสนานในห้องเรียน มีวีรกรรมแสบๆ กันทั้งนั้น
จนเข้ามาเรียนในวิศวฯ จุฬาฯ ผมพบว่ามันเป็นก้าวแรกในรั้วมหาลัยที่โคตรจะเปิดโลกของเราให้กว้างเอามากๆ
ผมได้เจอกับเพื่อนที่เป็นเด็กค่ายโอลิมปิก ได้เหรียญระดับประเทศ
ต้องเรียนกับคนที่ได้ PAT1 เต็ม 300 คะแนน
เจอเพื่อนที่หัดเขียนโปรแกรมตั้งแต่ประถม!
ตอนนั้นเรารู้สึกได้คำเดียว
“กู noob สัส”
จริงๆ 5555555 คือแต่ละคนที่โหดๆ ทั้งนั้น
ก่อนหน้านั้นผมมีความคิดว่า คนเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่เนิร์ดๆ คุยแต่เรื่องเรียนๆๆๆ คงจะน่าเบื่อปวดกบาลแน่ๆ เลย แต่คิดผิดครับ พวกเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนผมนี่แหละ คุยกันได้ทุกเรื่อง หยอกล้อได้หมด แถมบางคนเก่งทั้งด้านดนตรี และเก่งกีฬาพ่วงมาด้วย (แฟนสวยอีก โอ้ perfect man สัสๆ)
ซึ่งผมว่าเหตุนึงที่เราเห็นคนจบจุฬาฯ แล้วเก่งกันมากๆ ก็เพราะว่าเราอยู่ในสังคมที่มีแต่คนเก่งครับ
ผมกล้าบอกเลยว่า พอมีแต่คนเก่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
“เราต้องเก่งได้กว่านี้สิ” “มันทำได้ กูก็ต้องทำได้สิ”
และผมบอกเลยว่า คนเก่งเหล่านี้พร้อมจะแชร์ความเก่งให้เพื่อนๆ ด้วยซ้ำครับ ขอแค่ไปบอกมันก็พอ (แต่จะรับพลังความเก่งมาไว้กับเราได้เยอะแค่ไหน อันนี้อยู่ที่เราแล้วล่ะ 55)
ผมยังจำได้เลยว่าตอนช่วงปี 2 ยังเขียนเว็บไม่เป็นเลย จนเพื่อนมีโครงการนึง ซึ่งมันดีมากๆ คือโหวตกันว่าอยากจะเรียนเรื่องอะไร แล้วก็จะหาคนที่เก่งๆ เรื่องนั้นมาสอน มาแชร์ให้ฟัง ซึ่งตอนนั้นเรื่องเว็บชนะ เพื่อนก็เลยมาสอนเขียนเว็บ ผมก็ไปเรียนด้วย จนถึงทุกวันนี้บอกได้เต็มปากว่าเขียนเว็บได้ ก็เพราะเพื่อนคนนี้เลย
ยังไม่นับว่า มีเพื่อนที่ไปหางานข้างนอกมา แล้วเราก็ไปร่วมวงทำด้วยนะ เป็นประสบการณ์ที่ดี และเราก็เก่งขึ้นได้จริงๆ
ก็ถูกแหละ ปริญญาบัตรมันก็เป็นกระดาษใบนึง
ก่อนผมรับปริญญา ผมก็เคยคิดแว่บๆ นะ ว่าปริญญาบัตร มันก็เป็นกระดาษใบนึง ที่บ่งบอกว่า เออกูเรียนจบแล้วนะ
ทั้งๆ ที่จริงตอนผมสมัครงานเนี่ย ผมก็ยังเรียนไม่จบด้วยนะ ยังเรียนเทอมสุดท้ายด้วยซ้ำ สิ่งที่เอาไปสมัครคือความสามารถส่วนตัวล้วนๆ ไม่ใช่วุฒิการศึกษา (เชื่อผมสิ transcript ผมพี่เขาก็ยังไม่เคยเห็นเลย 555)
แต่มาตอนนี้ เมื่อผมรับปริญญาแล้ว จริงๆ ใบปริญญามันมีอะไรมากกว่านั้นครับ
มันเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจว่า เราได้เจออะไรมาบ้างในรั้วมหาลัย เราได้ฝ่าฝันอะไรมาบ้างในชีวิตการเรียนของเรา จนได้ใบปริญญาบัตรนี้มา
ผมบอกเลยว่า 4 ปีเนี่ย รู้สึกว่ายังทำอะไรหลายอย่างได้อีกเยอะครับ ยังทุ่มเทกับมันได้อีก
แต่ถามว่าอะไรที่เคยทำลงไปตลอด 4 ปีนี้รู้สึกเสียดายไหม ผมตอบได้เลยว่า ไม่เสียดายสักนิดเดียว
และผมก็มีความภูมิใจส่วนตัวครับ ที่ได้เอาปริญญาบัตรไปฝากให้พ่อกับแม่ครับ เพราะพ่อกับแม่ผมไม่เคยได้สัมผัสใบปริญญาบัตรครับ
เหมือนเป็นรางวัลให้กับพ่อแม่ผมที่อดทน และทุ่มเทเพื่อผมมานานแสนนานเอามากๆ
Big Thanks to everyone that come to my life
ตอนแรกจะติดนิสัยดองแล้ว แต่บล็อกนี้ต้องเข็นให้เสร็จจริงๆ ไม่งั้นมันจะไม่เสร็จออกมาให้ได้อ่านกันสักที 5555
ท้ายสุดมาถึงตอนนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่านกัน (ถ้าทนอ่านจนจบนะ 55) และขอขอบคุณส่งถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องในช่วงชีวิตผมผ่านช่องทางนี้ละกัน
ขอบคุณเพื่อนสมัยประถม โรงเรียนแม่พระประจักษ์ ที่ก็แหงละ เพื่อนๆ มีซนกันบ้างตามประสาเด็กๆ สมัยนั้นอะนะ 5555 แต่ก็คิดถึงเพื่อนๆ ทุกคนเสมอมานะ
ขอบคุณเพื่อนมัธยม โรงเรียนวัดราชบพิธ พวกมึงทุกคนเองก็เป็น 1 ในความทรงจำที่ดีมากๆ หาคนมาแทนยากจริงๆ
ขอบคุณเพื่อนภาคคอม ที่อยู่กันมาตลอด 4 ปี ฝ่าฝันสาระพัดสิ่งมาด้วยกันเยอะมากๆ ไล่ขอบคุณทุกคนไม่หวาดไหวจริงๆ
ขอบคุณเพื่อนบ้านโจ๋ กลุ่มเพื่อนที่ได้มอบหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่สุดในรั้วจุฬาฯ จริงๆ เราผ่านอะไรกันมาด้วยกันเยอะมากๆ รักพวกมึงทุกคน
ขอบคุณเพื่อนฝ่ายวิชาการแห่ง FE Camp พวกมึงคือ the best สุดทุกทางจริงๆ เรียนก็เก่ง งานก็โหด เกรียนก็เกรียน
ขอบคุณเพื่อนร่วมรุ่นในจุฬาฯ ที่ได้รู้จักกันผ่านกิจกรรมหลายๆ อย่าง บางคนอาจจะลืมเราไปแล้ว แต่เรายังไม่ลืมนะ :D ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน
ขอบคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่สั่งสอนผมมาในทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่อาจารย์สมัยอนุบาล ประถม มัธยม มหาลัย ขอบคุณที่ให้ทั้งความรู้ คำแนะนำ คำปรึกษา คำเตือนสติต่างๆ ตลอดมา หลายๆ ท่านดุกับผมมากๆ ในบางช่วง แต่ผมขอบคุณมาก เพราะนั่นเป็นการเตือนสติผม และทำให้เบนซ์เป็นเบนซ์จนถึงทุกวันนี้ครับ
ขอบคุณพี่ๆ ทุกคน ที่ช่วยให้คำแนะนำต่างๆ และดูแลน้องเสมอมา
ขอบคุณป๊ากับม๊ามากที่สนับสนุนทุกๆ อย่าง ทุกๆ อย่างจริงๆ
และสุดท้ายจริงๆ ขาดไม่ได้เลย
ขอบคุณตัวเอง ที่พาตัวเองมาจนถึงจุดนี้ได้