เพื่อน, พี่น้อง, ครอบครัว (และไม่ได้นอน) — YWC#15

เพื่อน, พี่น้อง, ครอบครัว (และไม่ได้นอน) — YWC#15

หมายเหตุ: ยาวเป็นบ้าเป็นหลังจริงๆ แต่อยากให้อ่านจริงๆ อยากให้ได้อ่านทุกประโยค ทุกตัวอักษร กราบกรานให้ได้อ่านจนจบจริงๆ นะ

หลังจากสลบ(แต่ไม่ตาย)ไป ก็สัญญากับตัวเองว่าบล็อกนี้มันต้องมาได้แล้วในวันนี้ ไม่งั้นจะหมดช่วง 55555555

ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อนละกัน เผื่อน้อง(หรือพี่)ที่เข้ามาอ่านจะไม่รู้จัก ชื่อเบนซ์ครับ (ชื่อเรียกขำๆ ก็ เบนซ์นะจ๊ะ) เป็นเด็กค่าย YWC#14 ก็ปีนี้จัดค่าย YWC#15 ครับ ตำแหน่งในค่ายก็คือ “เป็นเฮดฝ่ายเทคนิค” ของค่ายในครั้งนี้ครับ ถ้าถามว่าตำแหน่งนี้ทำอะไร “อะไรที่ทำเว็บ เสียบปลั๊กไฟ เสียบสาย HDMI, VGA พี่ทำหมด” (คุณเด่นชัยชัดๆ)

จุดเริ่มต้น….

จริงๆ ถ้าจะให้ย้อนไปตอนสมัยค่าย 14 เหตุผลที่เข้ามาสมัครไม่มีอะไรเหนือกว่าไปคำว่า “เพื่อนชวน” จริงๆ เพื่อนทั้งรุ่น 12 และ 13 ต่างก็ชวนมา ด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า “ค่ายแม่งดีจริง”

ตอนนั้นก็คิด เอนี่กูก็เด็กมหาลัยละนะ ค่ายกะไม่น่าจะให้ความรู้ไรกับเรามากมายขึ้นปะ ไปหาๆ เอาก็ได้ แต่ก็ตัดสินใจสมัครไป เพราะเพื่อนก็บัฟกันจัง

จนสุดท้ายก็ติดค่ายครับ

และมาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็สามารถกล้าพูดได้จริงๆ ว่า “เป็นค่ายเปลี่ยนชีวิตจริงๆ”

และไม่ได้เปลี่ยนครั้งเดียว

มันเปลี่ยนถึงสองครั้งแล้วด้วยครับ

คำมั่นสัญญา

ตอนสัมภาษณ์ค่าย 14 ได้สัมภาษณ์กับพี่ฮั้นและพี่บังครับ ตอนแรกรู้ว่าพี่ฮั้นอยู่ Jitta แต่รู้ว่าเป็น CTO เลยทักพี่ไป “อ่อ พี่ทำที่งานที่ Jitta ใช่มะ” พี่บังหรือพี่อีกคนนี่แหละบอกว่า “เอ่อ พี่เขาเป็น CTO” หน้าแตกกันไป

ตอนสัมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าพี่เขาโอเคกับเราไหม จะรับเราเปล่า เพราะนี่ก็ปี 4 ถ้าอดนี่คืออดเลยทั้งชีวิต…จนมีจุดนึงพี่บังก็ถามคำถามมา ซึ่งคิดว่ามันตอบยากมากๆ ในตอนนั้น พี่ถามว่า

“คิดว่าจะให้อะไรกับค่าย YWC ได้บ้างไหม”

ตอนนั้นก็สตั้นแหละ ตอบไงดีวะ แต่ก็ตอบไปด้วยความคิดที่ simple เรียบๆ ง่ายๆ ว่า

“ก็ถ้าสมมติว่าผมติดค่ายปีนี้ใช่ไหมพี่ ปีหน้าผมก็ต้องทำค่ายต่อแหละ ผมว่านั่นก็น่าจะเป็นการให้อะไรกับค่ายได้บ้างแหละครับพี่”

ถ้ามองมาตอนนี้ มันก็เหมือนคำมั่นสัญญากับพี่เขาแหละ ไม่ว่าพี่บัง หรือใครที่ได้ยินการสัมภาษณ์ครั้งนั้นจะจำได้หรือไม่ได้ก็เหอะ แต่เหมือนเราก็พูดไปแล้ว ถ้าเราจริงใจในคำพูดนั้นจริงๆ เราก็ต้องทำสิวะ

เป็นงานแรกที่ได้เป็นเฮดฝ่าย

ตลอดชีวิตการทำค่ายมา นี่เป็นค่ายแรกที่ได้เป็นเฮดครับ ซึ่งตอนนั้นก็พยายามบอกกับทุกคนว่า เออนี่เราก็ทำงาน full-time นะ อาจจะมีเวลาให้ค่ายไม่ได้มากนัก แต่ทุกคนก็รวมใจกันชี้ให้เป็นเฮดฝ่ายเทคนิค ก็ด้วยการตัดสินใจร่วมกันอะนะ ประเทศเราก็ประเทศประชาธิปไตยเนอะ ก็ต้องรับตำแหน่งนี้ไป

ซึ่งฝ่ายนี้ตอนแรกก็เข้าใจแค่ว่ามีแค่งานเกี่ยวกับ dev เท่านั้น งานเขียนโค้ด ทำเว็บ ก็จัดไป แต่จริงๆ แล้วฝ่ายนี้วันจริงถือว่าบันเทิงมากๆ (เดี๋ยวไปเล่าใน section ถัดๆ ไป)

และด้วยความที่เราเป็นเฮด ดังนั้นงานในมุมการจัดการคน/assign และแจกงาน/ประสานกับฝ่ายอื่นๆ/รับเคสต่างๆ จึงเป็นหน้าที่เรา ดังนั้นก็จะหนักแน่นอนพอสมควร

เว็บค่าย(ที่คิดว่าไม่ล่มเป็นปีแรก)

ปีก่อนๆ เห็นคนบ่นๆ กันว่าเว็บค่ายจะชอบล่มวิสุดท้าย เพราะคนแห่ถล่มเข้ามาตอบใบสมัครกัน ปีนี้ก็เลยมีเป้าใหญ่สุดของการทำเว็บค่ายคือ

“ไม่ล่ม”

จริงๆ เรื่องการทำเว็บค่ายเล่าไว้อย่างยาวในบล็อกนี้แล้ว ตามไปอ่านได้ (สายไม่ dev อ่านแล้วอาจจะต้องทำใจกันหน่อยนะครับ 555555 เราเตือนท่านแล้วนะ)

เว็บค่ายจบ แต่งานไม่จบ

แม้เว็บค่ายจะ launch แล้ว แต่ก็มีเคสแปลกๆ และบั๊คแจ้งมาเรื่อยๆ ครับ ก็ต้องตามแก้ไป (เชื่อจริงๆ ว่าไม่ว่าจะอะไรแล้วก็จะมีบั๊คอยู่เรื่อยๆ แม้จะเทสกันมาเยอะมากๆ แล้ว)

แต่นั่นก็ไม่จบครับ จุดที่ต้องทำเพิ่มก็คือ “ระบบตรวจใบสมัครค่าย” ซึ่งไปอยู่ในระบบ Admin หลังบ้าน ที่คอยให้ตัว tank หลักของค่าย (ประธาน+รอง และคนที่ควรเห็น) ใช้ระบบเพื่อดูข้อมูลของน้องๆ ได้ เพื่อที่จะคอยแก้เคสให้ในบางกรณี

ซึ่งระบบตรวจนั้นก็เป็นจุดสำคัญเหมือนกันที่ต้องห้ามพลาดพอๆ กับเว็บค่าย เผลอๆ ต้องห้ามพลาดหนักกว่าด้วย เพราะการตรวจผลก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการคัดน้องๆ เข้ามาในค่ายครับ

และก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ระบบตรวจไม่มีปัญหา แถมพี่ๆ ชมกันว่าใช้งานง่ายมาก สะดวกมาก (ติดแค่ว่าถ้าเปิดบนมือถืออาจจะไม่ responsive นิดนึง เพราะให้ admin หรือคนบางกลุ่มใช้ 5555)

โดนยกเลิกสถานที่

นอกจากคุมตำแหน่งเฮดฝ่ายเทคนิค ตอนแรกก็โดนเป็นเลขาค่ายด้วย คอยจดประชุม (ที่หลังๆ จะเป็นเพื่อนอีกคนจดแทน) เป็น 1 ใน 3 ตัวแท้งค่าย ก็เลยพอจะรู้ความเป็นไปของค่ายพอสมควร

หากน้องจำได้ ในตอนเว็บขึ้นแรกๆ ค่ายเราจะได้จัดที่ ABAC ครับ แต่ไปๆ มาๆ **“ABAC จำเป็นต้องขอยกเลิกสนับสนุนและให้สถานที่ด้วยเหตุผลบางประการ” **แบบกะทันหันโคตรๆ

ช็อคกันทั้งบาง ช็อคกันทุกฝ่ายมาก

สุดท้ายก็ต้องรวบรวมสติกัน และแบ่งกันไป survey สถานที่ใหม่ รวมถึงเอาช้อยส์เก่าที่เคยคุยๆ กันมา revise ใหม่กันอีกรอบ

จนสุดท้ายได้สถานที่จัดค่ายเป็นที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ที่ได้รับการจากสนับสนุนหลักจากผู้ใหญ่ใจดี CP All ครับ ต้องขอขอบคุณมา ณ​ ที่นี้ด้วย

วิกฤตการณ์คนไม่สมัครค่าย

ยอดสมัครช่วงแรกถือว่าน้อยจนน่าใจหายครับ น้อยแบบน้อยมาก ช็อคสุด

ผมเองก็พยายามชวนน้อง direct sale หนักมาก เจอน้องก็บอก เอ้ยสมัครค่ายๆ สิ จนน้องบอกว่าแม่งขายของเก่งจังวะ 555555

แต่ยอดก็น้อยไปมากจริงๆ แบบจนใกล้ปิดแล้ว ยอดก็น้อยมาก วิกฤติระดับที่ว่าพี่ซีเนียร์บางคนก็ยังไม่รู้อะว่าเปิดรับสมัครแล้วเหรอ

และแถมสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ช่วงรับสมัครมีช่วงนึงที่เป็นช่วงงานพระราชพิธีของในหลวงร.9 ที่มีการ strict เรื่อง PR หนักมาก ทำให้การทำ PR ไปหาน้องจะยากลำบากพอสมควร

จนสุดท้ายก็มีน้องดรีม มาช่วยงาน มาช่วยกู้ชีพ PR และก็ได้พี่ๆ ซีเนียร์หลายๆ คนที่ช่วยกันโปรโมท ช่วยกัน direct sale กันสุดๆ จนสุดท้ายยอดพุ่งมากๆ และจบที่ยอดอันน่ามหัศจรรย์และเราโอเคกับมันมากๆ ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งเรื่อง PR ไม่ได้ในช่วงพระราชพิธี รวมถึงมีการโดนเปลี่ยนสถานที่ด้วย (จนถึงตอนนี้ยังขอบคุณน้องดรีมทุกครั้งที่มาช่วยงาน น้องโหดมาก รวมถึงขอบคุณพี่ซีเนียร์ที่ช่วยเหลือด้วยครับ :D)

และยอดสุดท้ายก็เลขสวยมากครับ อยู่ที่ 1111 คนพอดี!

ประกาศผลรอบแรก

Behind the scene ของการประกาศผลจะบอกว่ากว่าผลจะออกมาเนี่ย พี่ๆ สตาฟรุ่น 14 และคนที่เกี่ยวข้องก็ลุ้นกันขี้เล็ดมากๆ (โดยเฉพาะผม ที่เป็นคนทำเว็บ ลุ้นพอกัน เพราะต้องเอาชื่อขึ้นเว็บ 555555) เพราะมีกรรมการยังตรวจไม่เสร็จ และก็มีน้องโทรมาถาม แชทเฟสมาถามในเพจอีกว่า พี่ๆๆๆ เมื่อไหร่จะประกาศๆ

แต่สุดท้ายด้วยสปีดการตรวจขั้นเทพของพี่กรรมการ รายชื่อสุดท้ายก็เข็นออกมาได้ครับ และก็ได้ประกาศผล

ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณพี่ๆ กรรมการทุกคนด้วยครับ :)

วันสัมภาษณ์

วันสัมภาษณ์ก็เตรียมระบบคิวไปด้วยครับ (ไอ้ที่โชว์ในห้องประชุมนี่แหละ) ซึ่งจริงๆ ก็แอบรู้สึกพลาดจุดนึงที่ไม่ได้แจ้ง PR ให้ PR หรือบอกน้องๆ ที่เข้ามารอสัมภาษณ์ว่ามันเปิดเว็บดูได้นะ น้องจะได้ไปรอที่อื่นได้ ก็นะ หวังว่าปีหน้าจะเอามาพัฒนากันให้ดีขึ้นนะครับ

และก็อาสาไปดูน้องหน้าห้องครับ เราที่เคยผ่านจุดนั้นมาก็จะรู้ว่า เชี่ย กูตื่นเต้นสัสๆ และก็เป็นงั้นจริงครับ น้องมีความตื่นเต้นมากๆๆๆๆๆๆ 555555555 ก็พยายามพูดคุยกับน้อง พยายามให้น้องใจเย็นๆ หายใจลึกๆ พร้อมกับถามการบ้านน้องด้วย เออเป็นยังไง ใช้อะไรทำมาบ้าง (ซึ่งไอ้ใช้อะไรทำมาบ้าง ก็มีน้องกวนกลับมาด้วยนะ ใช้มือทำเงี้ย ใช้คอมทำเงี้ย โหอีห่าน 5555555555555555)

ความท้อ + ความเหนื่อยล้า

หลังจากรายชื่อน้องออกมาแล้ว ผมเองซึ่งแม้จะเป็นทั้งเฮด และมีน้องช่วยงาน dev โค้ดจริงๆ แค่คนเดียว (น้องเฟิส) ก็รู้สึกว่าเออเราก็พอจะ handle งานทั้งสองฝั่งได้ คือทั้งงานค่ายและงานที่บริษัท (TakeMeTour ยังเปิดรับคนอยู่นะครับ อิอิ) สภาพจิตใจก็ยังรู้สึกไหวครับ

แต่แล้วจุดที่ความเครียด ความกดดัน ความเหนื่อยล้าก็เริ่มมาครับ พอใกล้ถึงวันค่าย เวลาเริ่มบีบมาแล้ว หลายๆ อย่างก็ยังไม่เสร็จ ไอ้นู้นก็ยังไม่ทำ ไอ้นี่ก็ยังไม่มี ทำให้ความตึงเครียดเริ่มมากับคนหลายๆ กลุ่มแล้ว

และในฐานะที่ผมเองก็สนิทกับประธานค่าย และรองประธานค่าย (โดยเฉพาะรองประธานค่ายที่เป็นเพื่อนผมเอง) ก็เลยรับรู้ความเป็นไปของสถานการณ์​และทีมงานบ้างครับ ก็รับรู้ความกดดันที่เกิดขึ้นดีเลยแหละ

ซึ่งจริงๆ ความกดดัน ความท้อมันก็เริ่มมาในรูปแบบของการที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นไปตามแผนครับ รวมถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ของเพื่อนรวมทีมด้วย คนที่เป็น Core Team เริ่มน้อยลง ผมเป็นเฮดพอเห็นเพื่อนร่วมทีมมีปัญหา ก็พยายามช่วยแก้ไขตลอด อย่างน้อยก็ช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นแหละนะ

และถามว่าเคยมีความคิดไหมว่า “กูจะมาทำค่ายนี้ให้เครียดๆ ทำไมวะ” ก็คงตอบได้เลยแหละว่ามีครับ

คนน้อย + งานเร่ง + ใกล้ถึงเวลาแล้ว ทำให้เป็น factor ที่รู้สึกเหนื่อยมากขึ้นจริงๆ ครับ

และระยะใกล้ๆ ค่าย ผมก็พยายามชวนเพื่อนๆ มาช่วยทำค่ายกัน ด้วยคำว่า

“มาช่วยกันส่งต่อสิ่งดีๆ ที่ได้มากันเถอะ เราต้องการทุกคนจริงๆ”

Day 0

วันก่อนค่าย ผมก็ต้องหาวิธีออกจากออฟฟิศไปที่มสธ. ซึ่งเป็นที่พักน้อง และที่พักพี่สตาฟ ซึ่งโชคดีที่พี่ที่บริษัทบ้านอยู่แถวๆ นั้นพอดี เลยติดสอยห้อยตามไปด้วย ประหยัดค่าแท็กซี่ไปบาน

วันก่อนค่ายก็รันโฟลว์ค่ายวันแรกกัน ซึ่งเอาจริงๆ เจอว่าเป็นการรันโฟลว์ที่นานมากๆ หลายอย่างติดๆ ขัดๆ ประธานก็รู้สึกเบลอๆ ง่วงๆ อีก พูดผิดพูดถูก จนสุดท้ายได้พี่ว่านมาช่วยรัน เลยลื่นไหลขึ้นหน่อยๆ

และก็มาดูไอ้ผมก็รู้สึก action items ที่ต้องทำก็เยอะพอกัน ก็พยายามจดในมือถือไป และค้นพบตอนนั้นว่า ฝ่ายเทคนิคนี่ต้องดูเรื่องอื่นนอกจากโค้ดด้วย ความช็อคเริ่มมาละ

อ๋อ ลืมบอกอีกความช็อคคือ น้องเฟิสคู่หูคู่ dev ไม่ได้มา และน้องต้นยังบวชไม่สึกอยู่

เลยกลายเป็นคนฝ่ายเทคนิคเหลือเพียงแค่คนเดียวจริงๆ

เวลานอน: 3:00–5:30

Day 1: แทบไม่ได้หยุด

งานหลักที่ได้รับผิดชอบคือต้องจัดการเรื่องไฟ แสง เสียง โปรเจกเตอร์ในพิธีเปิด เอาง่ายๆ คืออะไรที่แม่งที่ต่อปลั๊กไฟกับต่อ HDMI, VGA ให้ต้องคุมหมดจริงๆ และด้วยความที่เหลือคนเดียว แต่งานเยอะมาก แทบจะต้องแยกร่างออกมาจริงๆ แต่ก็ดีที่ได้เฟิน (guro) มาช่วยประปราย อย่างตอนพิธีเปิดที่ต้องประสานเรื่องสไลด์กับ ETDA ที่จะมาบรรยายช่วงเช้าก็ต้องช่วยดูและคุมสไลด์อีก ก็ให้เฟินช่วยดูให้ (และหลังจากนั้น เฟินก็ต้องไปเป็นพี่บ้าน)

หลังพิธีเปิด พอช่วงบรรยายที่เป็นเสวนาที่ไม่มีเรื่องเทคนิคต้องดูมาก เลยวาร์ปไปดูห้องที่จะบรรยายแยกสาขา 4 ห้อง ดูว่าโปรเจคเตอร์ ไมค์ ใช้ได้จริงๆ ตอนนั้นมีเจ้าทอยช่วยด้วย ตอนนั้นคือจริงๆ รู้สึกว่าควรจะแบกคอมกับหัวแปลงไปลองเทสโปรเจกเตอร์จริงๆ ดู แต่ก็…ไม่ได้ทำ และมั่นใจว่า เออมันต้องติดละวะ เพราะคอมที่ต่ออยู่มันก็ติดอะ 55555 เป็นความมั่นใจที่ผิดมหันต์มาก ดีที่ว่ามันไม่มีปัญหาจริงๆ

และพอหลังพิธีเปิด ก็เป็นช่วงที่พี่โน้ตมาแจกโจทย์ครับ ก็ต้องช่วยดูสไลด์ ก็นั่งอยู่หลืบข้างๆ เวทีนั่นแหละ (เรียกว่า Side-Stage Man คงถูก 555555) และต่อมาพี่ตั้งก็มาสอนเรื่อง Brainstorming ตอนนั้นจึงเป็นฤกษ์งามยามดีที่ได้ไปดูน้องๆ เขา Brainstorm กัน

ซึ่งพออยู่จุดนั้น ก็รู้สึกได้เลยจริงๆ ว่า เออที่พี่ปีที่แล้วไม่ไกด์เราหรือพูดโต้งๆ ว่าไอเดียมันไม่ดี มันจะล้มก็เพราะ

อยากให้เราได้ล้มก่อนจริงๆ

ตอนนั้นไอเดียของกลุ่มผมนับได้ว่าล้มหลายรอบก็เอาเรื่อง ตอนนั้นกดดันมากๆ ขนาดจนทำเวิร์กชอปแล้วไอเดียและข้อสรุปยังไม่นิ่งเลย ยังต้องนั่งกางกระดาษปรู๊ฟ มาคุยกันอยู่เลยว่าจะเอายังไง

พอมาเป็นพี่ เราก็ได้แต่ดูและแนะนำแหละ จะไม่ไบแอส ฝังไอเดีย หรือชี้นำน้อง เพราะอยากให้งานที่ทำเป็นงานของน้องจริงๆ

ถ้าน้องทำได้ ไม่ล้ม…ก็ถือว่าน้องเก่ง ดีแล้ว

ถ้าน้องล้ม…มามองตอนนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่านะครับพี่ว่า การได้ล้มมันทำให้เราเรียนรู้การลุกขึ้นกลับมาจริงๆ

หลังจากน้อง Brainstorm กัน ก็แน่นอนครับ ก็กลับที่พักครับ และเหมือนปีก่อนเลย หลายกลุ่มมีความเคว้งสุดๆ มาก (เหมือนกลุ่มผมเองที่ก็ฟุ้งๆ เหมือนกัน)

หลังจากกลับที่พัก ก็รู้ครับ ว่าน้องก็ยังไม่ได้นอนหรอก 5555555 พี่เองก็เช่นกัน นั่งช่วยน้องเฟิสทำระบบแรนด้อม ที่น้องเองก็นั่งทำจากเชียงใหม่นู้น

เวลานอน: 3:00–6:40

Day 2: หนักข้อกับคอมที่น้องจะใช้

บอกก่อน: section นี้อาจจะมีเรื่องเทคนิคเยอะมากๆ ทำใจไว้ก่อนนะฮะ

เทสว่าเปิด Github ได้ไหม จนนึกว่าได้ Github มาเป็นสปอนเซอร์ 55555 แน่นอนว่าฝ่ายเทคนิคที่ต้องยุ่งกับเรื่องคอมๆ ก็ต้องมาดูคอมที่น้องใช้ทำเวิร์กชอปครับ รวมถึง server ที่น้องจะได้เอาไปใช้ในการ deploy website ของน้องๆ ซึ่งจริงๆ ก็มีดูคอมของน้องที่จะใช้ทำเวิร์กชอปก่อนหน้าแล้วในวันแรก

ซึ่งพบว่า (ถ้าน้องสาขาอื่นนอกจาก dev ไม่เข้าใจจะไม่แปลกใจนะฮะ…)

“Node.js ลงบางเครื่องได้ แต่ npm install ไม่ได้”

“SSH ไปไหนก็ไม่ได้”

“Github ก็เข้าไม่ได้ Clone ก็ไม่ได้”

“ลงฟอนต์ไม่ได้”

เรียกว่างานเข้าของแท้มากๆ เพราะนั่นหมายถึง dev จะทำงานไม่ได้ design จะเงิบเพราะฟอนต์ Angsana News มันคงจะสวยหรอกเนอะ และนี่เป็น “ความงานเข้า” แรกๆ ที่เจอ

ก็เลยต้องฝากเบ๊บ ประธานค่าย (ที่ยืมลูกมือมาเป็นลูกน้องเราเอง) ช่วยดูเรื่องนี้ ช่วยติดต่อกับ IT ของที่นี่ และพบว่าจริงๆ มันเกิดจากการติด proxy ของ network เลยต้องเซ็ต proxy ของ git กับ npm ด้วย เลยรอดตาย น้องพอทำ workshop ไหวแล้วแหละ

ก็นั่นแหละ พยายามเซ็ตคอมเท่าที่ได้ บางเครื่องติดว่าลง Node ไม่ได้ แบบลงไม่ได้เลย ความช็อคคือ เชี่ยทำไมตอนแรกๆ เครื่องที่กูลองมันลง Node ได้วะ แล้วทำไมน้องลงไม่ได้วะ ปรากฎว่ามันติด Admin Permission ซึ่งจริงๆ เราก็ขอ IT เขาไปแล้วว่าอยากได้ Admin Permission สำหรับ account ที่น้องจะใช้

และเบ๊บก็นั่งเซ็ต server ให้น้อง แต่ก็กลุ้มใจว่าน้องจะ ssh เข้าไปยังไงวะ เพราะมันก็บล็อก ssh ที่ Network ซึ่งเป็น Policy ที่เขาตั้งมาไว้ ก็เลยพยายามหาท่าแปลกๆ ซึ่งท่าแปลกๆ นั้นก็แปลกจริงๆ แปลกระดับที่เรียกว่ากูคงไม่ทำอะถ้าไม่จำเป็นจริงๆ (เช่น ใช้ Amazon Cloud9 ต่อกับ server เพื่อใช้ terminal ใน Cloud 9 คุมเครื่องผ่านเว็บ / ใช้ DO สร้าง droplet มาให้น้องเข้า DO ผ่านเว็บ และ ssh ไปที่ server เราอีกที)

ส่วน server ได้รับความกรุณาจากน้องต้น ซึ่งตอนนั้นยังเป็นพระต้นที่บวชยังไม่สึก ส่งเครื่องมาให้ (เครื่องแรงมาก และมั่นใจว่าแรงกว่าคอมที่น้องใช้ทำเวิร์กชอปอะ 555 และก็เป็นไปได้ว่าน่าจะปลุกเสกอะไรบางอย่างมาให้ด้วย ฮ่า)

ซึ่งทั้งหมดนั้น ก็ทำกันทั้งวันจริงๆ ทำจนพอกลับขึ้นไปห้องสตาฟ เพื่อนๆ ถามว่าไปไหนมา บอกว่าอยู่กับคอมจนจะแต่งงานกับแม่งอยู่แล้วเนี่ย 55555 ละก็เปลี่ยนบรรยากาศมาช่วยดูโฟลว์ด้านบนต่อที่น้องกำลัง brainstorm จนพอน้องได้เริ่ม workshop ถึงกลับลงไป

แน่นอนครับว่า ไอ้อาการที่ Node ลงไม่ได้มันก็มาครับ รวมถึงฟอนต์ลงไม่ได้ด้วย ก็พยายามบอกน้องว่า “พี่เสียใจด้วย ต้องรอพรุ่งนี้ ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อนละกันนะ” (ตอนนั้นรู้สึกว่ากู noob shit มากๆ)

กลับมาที่พักวันนั้นเบ๊บก็ยังเซ็ตเครื่องอยู่ และตอนนั้นความช็อคคือ รองประธานค่ายนั่งปรึกษากับพี่ว่าน และระบายสาระพัดอย่าง จนต้องน้ำตาแตกออกมาจริงๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เรารู้สึกน้ำตาซึมหน่อยๆ ด้วย

บวกกับสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ ก็เหนื่อยเหลือเกิน พลังหายไปไหนหมด

เวลานอน: 3:20–6:51

Day 3: พีคที่สุดในชีวิตการทำค่าย กับเหตุการณ์ที่จะจำมันไปตลอดชีวิต

วันที่ 3 เป็นวันที่บอกได้เลยว่า แม่งเหนื่อยสัสๆ โคตรเหนื่อย มีเหตุการณ์ที่พีคของพีคของพีคของโคตรพีคของพีคเหี้ยๆ แต่แม่งก็มีเหตุการณ์ที่โคตรประทับใจ และจะจำไปตลอดชีวิตจริงๆ

วันนั้นเป็นวันที่น้องจะทำเวิร์กชอปแน่นอนว่าปัญหา Node ยังลงไม่ได้ก็ยังมีอยู่ ซึ่งแพลนก็คือยังไงก็ต้องติดต่อ IT เบ๊บเจอว่าคือทีม IT โทรไปก็ไม่รับสายอีก สุดท้ายก็ติดต่อมาได้ และมาแก้ให้ ก็เรียบร้อยรอดไป

น้องต้น (ซึ่งสึกแล้ววันนั้นตอนเช้า) กับเบ๊บ ก็พยายามหาทางให้น้อง SSH เข้ามา deploy เว็บให้ได้ สุดท้ายก็เลยใช้กระบวนท่าที่ให้น้องเข้าเว็บ access VMWare EXSI ที่เป็นตัวคุมเครื่องหลักและคุม VM ทั้งหมดทุกกลุ่ม และเข้าไป access VM ของตนเอง

ซึ่งความน่ากลัวคือ วิธีนี้มันมีสิทธิ์ที่จะเคลียร์และแก้หลายๆ อย่างได้ แต่เราก็บอกน้องไปว่า เราก็เรียนจริยธรรมมานะ ถึงแม้น้องจะไม่ค่อยฟังหรือง่วงก็เหอะ แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะทำได้ เพราะเน็ตเวิร์กที่นี่ออกได้แค่เน็ตจริงๆ

ระหว่างนั้นก็คิดว่าคงไม่มีเคสละ แต่ไปๆ มาๆ ก็ต้องวิ่งว่อนไปทั่ว พี่เบนซ์กับหมอนรองคอของเขาก็ดูจะใช้ได้เลยแหละ 55555555555555 เจอเคสทีคอพับไปนอนกับหมอนพอดีเลย

จนสุดท้ายความพีคแรกก็มาตรงนี้

“พี่เน็ตไม่ติด”

เสียงนี้พร้อมชูมือขึ้นมาถามเริ่มมากันเยอะมากๆ

ตอนนั้นรู้สึกถึงความชิบหายละ ค้นพบว่า network ที่นี่โดนบล็อก…กูก็เอ๋อแดกเลย เรียกไอ้เบ๊บมาคุย และวอ.บอกคนอื่นๆ ว่าชิบหายแล้ว

เลยก็ปรึกษากัน ขั้นแรกติดต่อ IT ก่อน พยายามหาหนทางแก้

เป็นการที่ต้องเรียนรู้การทำ crisis management แบบด่วนมากจริงๆ เพราะตอนนั้นน้องเริ่มหัวร้อนจริงๆ มันเหลืออีกสองชม. แต่เน็ตแม่งต้องเสือกล่ม ละน้องก็เห็น timer วิ่งๆ ยิ่งกดดันอีก เลยต้อง freeze มันไปก่อน และปรึกษาไปจนได้ความว่า จะต่อเวลาให้น้องเท่ากับเวลาที่เน็ตบิน

เลยก็ไปแจ้งน้องครับ แต่การแจ้งน้องครั้งนั้นก็เห็นเสียงหัวเราะประปราย เพราะก็ไม่ได้พยายามทำให้น้องเครียด พยายามยิ้มตลอด และบอกน้องว่าหายใจเข้าลึกๆ น้า ใจเย็นๆ ค่อยๆ ทำกันไป (เป็นเรื่องนึงที่ควรทำ เพราะว่าตอนนั้นน้องหัวร้อน ถ้าพี่ทำหน้าตาที่ทำให้น้องรู้สึกว่ามีความชิบหายจริงๆ เกิดขึ้น น้องก็จะหัวร้อนหนักกว่าเก่าอีก)

แต่เบื้องหลังถัดจากนั้นคือ ความติดต่อ IT ได้ช้ามาก พอติดต่อได้ความหวังก็เริ่มริบรี่จริงๆ เพราะปัญหานี้ไม่ได้แก้กันง่ายๆ คือโดนบล็อกจาก Firewall ชั้นนอกมากๆ และคนทำก็คือ outsource จนเราไปแก้มันตรงๆ ไม่ได้ จะขอ outsource ช่วยแก้ตอนนั้นก็ริบรี่มาก ส่งเรื่องให้กันหลายทอดโคตรๆ

เหตุที่โดนบล็อกเพราะว่ามีคน access เว็บที่ตามกฎของ network สถาบันการศึกษาจะบล็อก ซึ่งคิดว่าก็อี Github, npm ที่ dev ใช้นี่แหละ ก็เงิบกันไปเลยสิ

ก็เลยตัดสินใจร่วมกันกับพี่ๆ ซีเนียร์และเพื่อนๆ ว่าให้ไลน์น้องไปกินข้าวมื้อเย็นที่แกรนด์ที่สุดในค่าย เพราะตามแพลนเราจะจบด้วยท่านี้ คือน้องเวิร์กชอปเสร็จ ก็กินของดีหน่อย แต่ก็เลื่อนมาก่อน เพราะคิดว่าเน็ตก็ยังไม่มา ให้น้องทำต่อไปมันก็เหมือนทดเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าเน็ตจะหายพังตอนไหน น้องก็จะเลิกดึกไปเรื่อยๆ อีก เลยยัดอันนี้ขึ้นมาก่อนเลย

และตอนนั้นเอง เรื่องถึงหูพี่ตั้งกับพี่แทน ทั้งสองคนเลยวิ่งลงไปดูคอมเลย และผมก็ตามไปดูด้วย

ตอนนั้นอยู่ในช่วงที่ investigate อยู่ เราจะได้ยินท่ายากๆ และแปลกๆ พอตัว พยายามหาทุกวิถีทางที่ทำได้จริงๆ จนสุดท้ายเหมือนมืดแปดด้าน

ตอนที่ผมเห็นสีหน้าพี่แทน และช้อยส์ที่พี่แทนเสนอมามันไม่เวิร์กหมด มันช็อคจริงๆ ตอนนั้นเครียดมาก จนสุดท้ายพี่แทนปิ้งไอเดียว่า เซ็ตอัพเน็ตเวิร์กเองเลย เอาเครื่องนึงต่อ WiFi Hot-spot และให้มันแจกเน็ตทุกคนในเน็ตเวิร์ก แม้ฟังดูจะบ้ามาก เพราะนั่นคือต้องต่อสายแลนเยอะมากๆ ใช้ Switch เพื่อทำเยอะพอตัว แต่นั่นก็เป็นช้อยส์เดียวที่เรามี

สุดท้ายก็เอาเรื่องนี้ ไปเคาะกับพี่ต้นเตย พี่จาบอน และพี่หลายๆ คน จนได้แผนมาว่า เราจะ shift Ignite กับ Party มาให้น้องก่อน เพื่อซื้อเวลาในการกู้เน็ตเวิร์กกลับมา ซึ่งจะใช้วิธีพี่แทน และก็รอฝั่ง IT แก้ด้วย (ตอนนั้นความหวังที่จะพึ่งกับ IT เขาถือว่าริบรี่เบอร์สุด เพราะถามเขาว่าเสร็จตอนไหน ก็ตอบไม่ได้ แสดงว่าเขาเองก็ไม่รู้จะแก้ไงให้เหมือนกัน) และพอมันกลับมาแล้ว ก็ให้น้องทำเวิร์กชอปต่อเลย เสร็จแล้วก็บายศรีแล้วกลับที่พัก

พอได้ข้อสรุปแบบนั้น พี่แทนก็เบิ่งไปซื้อของทันที ไปกับพี่ซีเนียร์หลายๆ คน

หลังจากนั้นผมก็ไป Ignite ในสภาพที่หมดพลังมากๆ แบบเหนื่อยสัสๆ ก็ต้องไปช่วยดูสไลด์ Ignite อีก คุมเวทีเป็น Side-Stage Man

จนจู่ๆ พี่ๆ ซีเนียร์ที่นั่งฟังก็หายออกไปอย่างเยอะมาก

มาพบอีกทีก็คือ พี่ตั้งเดินเข้ามา และบอกกับสตาฟว่า

“สิ่งเดียวที่เราจะช่วยแทน (YWC#7) มันได้คือมึงเข้าไปเรียก Senior ที่เป็น Programmer ทุกคนลงไปช่วยแทนมัน”

สิ้นคำแค่พูดเท่านั้นแหละ เมื่อพี่ซีเนียร์ได้ยินสาส์นชิ้นนี้ พี่ซีเนียร์กว่า 30 ชีวิต ทั้ง Programmer และไม่ใช่ ก็ออกจากห้อง Ignite เพื่อตรงดิ่งลงไปช่วยพี่แทนทันที

พอ Ignite จบ ผมก็ได้ลงไปดู พบว่า เชี่ย แม่งเป็นภาพที่กูจะจดจำไปตลอดชีวิต

ในที่สุด ระบบเน็ตเวิร์กที่น้องจะใช้ทำเวิร์กชอปต่อสามารถใช้งานได้แล้ว ด้วยแรงกายแรงใจของพี่แทน พี่ตั้ง ละพี่ซีเนียร์อีกกว่า 30 ชีวิต

จนวันนี้ยังรู้สึกว่า ขอบคุณเท่าไหร่ก็ไม่หมดจริงๆ และภาพนี้ก็จะจำได้ตลอดไปจริงๆ ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักขนาดไหนก็เถอะ

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทำให้ได้คำมาหนึ่งคำของบทความนี้ครับ

“พี่น้อง”

ไม่ว่าจะห่างรุ่นแค่ไหน ก็ยังกลับมาช่วยกันเสมอ

แต่ถ้าบอกว่า การที่เน็ตเวิร์กกลับมาใช้ได้แล้วจะจบสิ้นแล้ววันนี้ คิดผิดละครับ

ผ่านไปสองชม. เน็ตล่มอีกแล้ว SHITTTTTTTTTTTTTTTTTT

ตอนนั้นเวลาเหลือ 30 นาที แน่นอนว่าบรรยากาศมาคุจริงๆ น้องๆ เริ่มหัวร้อน ผมก็ทราบเรื่อง ก็พยายามหาทางติดต่อพี่แทน ความพีคคือพอเดินออกจากห้องกำลังจะพุ่งไปหาพี่แทนด้านบน พี่แทนก็ลงมาเพื่อจะถ่ายวิดีโอช่วงเวลาสุดท้ายพอดี (พี่บอก “กูว่าจะลงมาถ่ายชิวๆ ซะหน่อย”)

ภาพนี้มีให้เห็นบ่อย คอมน้องก็จะมีปัญหาไม่หน่อยเลยทีเดียว สรุปเจอสาเหตุแล้วเพราะ WiFi ถีบ authen ออกครับ เพราะต่อนานเกิน 2 ชั่วโมง ล่มเครื่องเดียวเลยไปยกแผง เลยต้อง login ใหม่ ตอนแรกจะไม่ทดเวลาแล้ว แต่ก็ทดต่อไปอีกนิดนึง

จนสุดท้าย พอเหลือ 20 นาทีมั้ง แม่งล่มอีกรอบ…ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยย น้องหัวไหม้จริงๆ ก็ปัญหาเดิมเลย

จนสุดท้าย ทุกคนก็เข็นเว็บออกมากันได้ ปิดเวิร์กชอปที่นับว่านานสุดและเลิกดึกสุดในประวัติศาสตร์ YWC จริงๆ จบที่เวลาตี 1 พอดีเป๊ะ

แล้วก็ขึ้นไปบายศรี แน่นอนเวลาก็ต้องกระชั้นชิด เพราะแม่งมืดเหี้ยๆ ละจ้า

จนสุดท้ายกลับไปที่พัก พบว่าต้องรันโฟลว์ครึ่งเช้าต่อ เพราะมีงานที่ต้องโดนเต็มๆ หน้า และลองเซ็ต Timer ที่จะใช้จับเวลาน้องตอนพรีเซนต์ ดีที่ได้ความช่วยเหลือจากพี่ไนท์ในการ build ตัวโปรแกรมบน Windows ให้ ก็เลยรอดไป

เวลานอน: 4.42–6.17

และดูจากเวลานอนของแต่ละวัน เลยเป็นคำที่สองของบทความนี้ครับ คือคำว่า

“ไม่ได้นอน”

จะพี่จะน้อง ก็ไม่ได้นอนพอๆ กัน

Day 4: ความตื้นตันใจอย่างหาจากไหนไม่ได้แล้ว

แม้จนวันสุดท้าย บางคนก็น่าจะมีโอกาสได้ตื่นสายบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย ก็ต้องไปรับผิดชอบเรื่องการ presentation ของน้องๆ คุมคอมที่น้องจะพรีเซนต์อีก​ กดระบบแรนด้อมด้วย เอาว่ะ ลุยก็ลุย เดี๋ยวกลับบ้านนอนยาวๆ ทีเดียว

และก็เหมือนทุกปี น้องก็ลุ้นตัวโก่งเหมือนเดิม ไม่ว่าระบบแรนด้อมจะดูบ้านแค่ไหนก็ลุ้นได้ทู้กที

โฟลว์​พรีเซนต์ก็ดูไม่มีปัญหา พร้อมกับนั่งปั่นทวิตเตอร์ 5555555 ซึ่งก็เข้าใจฟีลลิ่งน้องๆ จริงๆ อยู่ตอนนั้นเหมือนอยู่บนลานประหารชัดๆ แต่ก็เห็นด้วยกับการคอมเม้นของกรรมการในหลายๆ จุดจริงๆ

ในตอนนั้นแม้หลายๆ สถานการณ์มันเหมือนลานประหาร แต่ก็มีโมเม้นที่อบอุ่น และรู้สึกถึงพลังความเป็นพี่น้อง YWC มาก เช่น กลุ่มนึงน้องใช้ Firebase และเดโม่มันออกมาได้ดีมาก จนเรียกว่าใช้งานได้เลย เป็นกลุ่มแรกที่พี่ตั้งชม และเพื่อนปรบมือกันทั้งหอประชุมให้ (จำโมเม้นนั้นได้ เพราะปีก่อนเราก็ยืนอยู่จุดนั้น) แต่ความรู้สึกดีๆ มันเกิดจากที่ว่า พี่ตี๋ GDE Firebase คนแรกและคนเดียวไทยได้ดู Live สดน้องอยู่ ทักพี่ตั้งมาว่า “จะให้ credit Firebase ฟรีน้องกลุ่มนี้” รู้สึกดีใจแทนน้องจริงๆ

จนพอพักบ่าย ก่อนใกล้พักบ่าย พี่แทนทวิตว่า “อยากให้เปลี่ยนเพลงตอนแรนด้อมเป็นเพลง Baby Shark” เลยเอาไอเดียนี้ไปเสนอเพื่อนๆ เพื่อนบอกทำสิ เลยเป็นที่มาของเพลง Baby Shark ตอนบ่ายนี่แหละ

อ๋อ และมีเรื่องนึงที่ตอนได้ยินแล้วก็หันขวับหน่อยๆ คือมีสองกลุ่มที่พูดถึงงานตัวเองว่า Local และ Guide จับรวมกันแล้ว…โอ้โหชัดเลยจ้า 55555555555 ภาพ TakeMeTour นี่ลอยมาเลยจ้า

และสุดท้ายก็มอบรางวัลครับ ปีนี้น้องที่ได้แชมป์ได้ไปสองรางวัลด้วยกัน (เทียบกับเราที่ได้สามรางวัลในปีก่อนตอนนั้นกลัวโดนดักฆ่าตอนกลับบ้านมาก 55555555)

และก็เชิญพี่ว่านขึ้นมาพูดเพื่อปิดค่ายกลายๆ แน่นอนว่าพี่ว่านก็พูดขอบคุณสปอน ขอบคุณซีเนียร์และเล่าวีรกรรมที่พี่แทนได้ทำเมื่อวันที่น้องทำเวิร์กชอป ผมก็ปรบมือให้พี่เขาอย่างจริงใจที่สุดจริงๆ

และแน่นอนแหละ ผมก็รู้ว่าพี่ว่านก็ต้องขอบคุณสตาฟที่ทำงานกันมาตลอด และพี่ว่านเชิญพวกเราทุกคนมาบนเวที

ตอนผมเป็นน้อง ผมรู้ว่าสตาฟมันก็เหนื่อยแหละ แต่ไม่คิดว่าจะเหนื่อยขนาดนี้

โมเม้นนั้นขอแค่น้อง รวมถึงกรรมการและพี่ซีเนียร์​รับรู้สิ่งที่เราได้ลงแรงทำไปเพื่อให้งานออกมา เราก็ดีใจแล้ว ความเหนื่อยมันได้ค่าตอบแทนเราผ่านสิ่งนั้นแล้ว คือให้น้องๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ประสบการณ์​ความรู้สึกแบบเดียวกับที่เราเคยได้มา

แต่ความตื้นตันใจมันอยู่ที่ว่าพี่กรรมการลุกขึ้นมาปรบมือให้ครับ

และยิ่งไปกว่านั้นคือ

น้องๆ ลุกขึ้นปรบมือให้

ผมเริ่มรู้สึกแสบตาเล็กๆ น้ำตามันเริ่มจะมาละหว่ะ

จนกระทั่งเริ่มรู้สึกได้เสียงสะอื้นเล็กๆ ที่ทางขวามือ

ภาพที่เห็นคือประธานค่าย เจ้าเบ๊บ กับรองประธานค่าย ไอ้ฟง มันกอดกันร้องไห้ครับ

ตอนนั้นน้ำตาผมแม่งจะมาจริงๆ แต่ก็กลั้นมันไว้อีกคน ไม่งั้นน้ำตาแตกทั้งเวทีแน่ๆ

และบอกกับมันสองคนสั้นๆ ว่า

“พวกมึงทำได้แล้ว”

และนี่คือคำที่สามครับ

“เพื่อน”

ความฝ่าฟันทั้งหมดที่ต้องเจอมา เจอเรื่องพีคมหาศาลมากๆ ความกดดันสูงมาก เจอเรื่องล้านแปด แบกความหวัง ความเหนื่อย ความท้อ ทะเลาะกันก็มี แตกหักก็เกือบจะมีเหมือนกัน เรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวก็มีเหมือนกัน

แต่ความเชื่อในใจเราลึกๆ นั้นก็บอกมาเสมอว่า

สุดท้ายพวกมึงทุกคนก็จะทำได้

และการยืนปรบมือทั้งห้องประชุมในวันนั้น มันคือคำตอบจริงๆ

และให้ทายว่า

เพื่อน

และ พี่น้อง

รวมกันจะได้อะไร

“ครอบครัว”

ที่เป็นคำสุดท้ายไงล่ะ

ครอบครัว YWC เล็กๆ ที่อบอุ่นแห่งนี้

ผมเลยบอกว่า นี่มันเป็นค่ายเปลี่ยนชีวิตจริงๆ

มันไม่ได้เปลี่ยนแค่ครั้งแรกครั้งเดียวตอนที่มาเป็นน้อง

แต่มาเปลี่ยนเป็นครั้งที่สอง ในตอนที่มาเป็นพี่ค่าย

ผมไม่แปลกใจว่าทำไมใครๆ ก็รัก และยังกลับมาที่ YWC เสมอ ไม่ว่างจะห่างไปกี่ปี ไม่ว่าน้องจะรู้จักตนแล้วหรือไม่

เพราะมันก็เหมือนมากลับบ้าน

มันมีความทรงจำดีๆ มากมาย

และความทรงจำดีๆ ที่เต็มไปด้วยความสุข ความเหนื่อย น้ำตา ที่เราผ่านกันมาจนได้

จากที่ตนเองก็ทำค่ายมาเยอะ เป็นเด็กกิจกรรมมาระดับนึง

ไม่มีค่ายไหนที่ให้อะไรได้ถึงขนาดนี้จริงๆ

“เรารู้ว่าเราไม่ได้ดีพร้อม เรารู้ว่างานไม่ได้ perfect แต่สิ่งที่เรามั่นใจก็คือเรามีใจ มีความหวังดี มีความรู้สึกดีๆ ที่พร้อมจะส่งมอบเรื่องดีๆ ที่เคยได้รับมาให้กับน้องๆ ต่อไป”

“เราอ่าน Dropbox ของทุกคนนะ”

ขอบคุณทุกคนมากที่เขียน Dropbox ให้เรานะ

ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งน้อง น้องบางคนเขียนมาหาด้วยทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เป็นพี่กลุ่ม ก็แค่คนๆ นึงที่ใส่หมอนรองคอทั้งค่าย และวิ่งไปวิ่งมาช่วยน้องในวันเวิร์กชอป

เรายิ้มและหัวเราะกับทุกแผ่นที่เขียนมาให้จริงๆ

ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาตลอดการทำค่ายในเวลากี่เดือนไม่รู้ รู้สึกยาวนาน แต่ก็เร็วเหมือนกัน

ขอบคุณมากจริงๆ

คำขอบคุณเหล่านั้นมันผ่าน Dropbox ที่เราเขียนด้วยลายมือเน่าๆ ไปแล้วแหละ

ถ้าส่งไม่ถึงใคร หรือตกหล่นใครก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้เขียนให้ (นี่ขนาดเอาเวลาที่น้องพรีเซนต์อยู่มานั่งเขียนละนะ 55555) แต่ก็ขอบคุณมากๆ นะที่ฝ่าฟันกันมาด้วยกัน

แล้วจนกว่าจะเจอกันใหม่นะทุกคน

เบนซ์นะจ๊ะ

YWC#14 Programming

เฮดฝ่ายเทคนิค ผู้ใส่หมอนรองคอตลอดทั้งค่ายโดยไม่รู้ว่าจะใส่ให้ร้อนไปทำไม

Made with ❤️ since 2016